top of page
รูปภาพนักเขียนArthouse School

Who is 'LOVESYRUP'


“ ผมรู้สึกตกหลุมรักงานของลูกศิษย์ตัวเอง ”

จนถึงขั้นขอจีบซื้องานเค้าหลายชิ้นเลย(ก่อนที่จะดัง) สรุปเค้าไม่ขาย คงจะรู้ทัน

เค้าคนนี้ชื่อ “เตว”

เตว เป็นผู้ชายตัวผอมสูง ดูไม่ค่อยมีแรง เรียบร้อย พูดเบา ขี้อาย และเตวไม่เคยเรียนศิลปะ เค้าจบมาจากคณะวิทย์ศาสตร์ ชีววิทยา มหิดล เรียนวิทย์แต่ดันชอบศิลปะ(ฟังแค่นี้ก็สนุกละ)

เจอกันครั้งแรกผมถามถึงความฝันของเค้า เค้าบอกว่าอยากเป็นศิลปินหรือนักวาดภาพประกอบ แต่ไม่รู้จะเป็นได้อย่างไรเพราะไม่เคยเรียนศิลปะมาโดยตรง แค่รู้ว่าชอบวาดรูป

ผมเลยขอดูงานที่เคยวาด คะยั้นคะยออยู่พอสมควรเค้าถึงกล้าเอางานของเค้าให้ดูอย่างเขินอาย

ตอนนั้นเตวเป็นคนประเภทที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีดีซ่อนอยู่ อาจเป็นเพราะเค้าไม่ได้เรียนศิลปะมาโดยตรงเค้าก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเขียนไม่สวย ซึ่งจริงๆในสายตาผมคือไอ้นี่เพชรในตมชัดๆ (คิดในใจว่า มาๆฉันจะเจียระไนเธอเอง)

เตวเหมือนคนที่กระหายการเรียนศิลปะ เค้าเรียนทุกอย่างที่ผมสอน เช่นดรออิ้ง สีน้ำ สีน้ำมัน สีชอร์ค บลาๆๆ มันเรียนทุกอย่างจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบลูกศิษย์ประเภทนี้คือ เค้ายังไม่ได้ถูกสอนแบบในระบบมาก่อน ซึ่งนี่แหละปั้นง่ายที่สุด พูดง่ายๆยังไม่เสียของนั่นเอง สดๆซิงๆ ให้ทำอะไรมันก็กล้าทำอย่างไม่กลัวผิด

บอกเลย คนนี้บริสุทธิ์จริง เค้าไม่ได้ดัดจริตเขียนรุปให้เท่ เค้าเป็นของเค้าโดยธรรมชาติเลย

ดูแล้วระวังจะ 'ตกหลุมรัก' งานเค้านะครับ

- ครูเบิร์น

 

LOVESYRUP


มาจากนิตยสารหนังที่รีวิววงดนตรี the vaccine ภาพถ่ายที่มาประกอบบทความสวยดีเลยวาดครับ


หนึ่งในฉากของหนังเรื่อง the strange little cat ชอบฉากนี้มากเพราะฉากนี้กำลังเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่รุนแรงจนประทับใจ


โปสเตอร์หนังเรื่อง the dreamers ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังที่ชอบสุดๆในชีวิต


ภาพจากหนังสารคดีเรื่อง AMY เป็นฉากที่ประกาศว่าเอมี่ได้รางวัลแกรมมี่ อินกับบรรยากาศที่ทุกคนโห่ร้องดีใจแล้วตัวเอมี่กำลังตะลึงแบบสุดๆ


ตอนป่วยเป็นไข้เลยอยากลองวาด เสิร์ชหารูปจาก pinterest แล้วรู้สึกว่ารูปไหนมันรู้สึกปิ๊งก็จะหยิบมาวาดโดยไม่กังวลอะไร


ได้แรงบันดาลใจจากไดอะล็อคหนังเรื่อง Death of the salesman ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังอีกเรื่องที่ชอบที่สุด แต่แผลงจากต้นฉบับที่พูดถึงพี่น้องมาเป็นคู่รักร่วมเพศ และได้แรงบันดาลใจจากภาพเขียนของ Edward Hopper ครับ


ฉากจากหนังเรื่อง อนธการ ชอบเพราะเป็นฉากที่ตัวละครทั้งสองคนมาทำพิธีกรรมบางอย่างที่มันสะท้อนความเข้าอกเข้าใจกันเป็นฉากอบอุ่นของคนเหงาๆ


ไตเติ้ลจากเรื่อง Billy Elliot ที่บอกเราตั้งแต่แรกเลยว่าบิลลี่รักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจผ่านการกระโดดแล้วโพสต์ท่าทางต่างๆ

'เตว'


" ผมชื่อเตวครับ บางคนอาจจะรู้จักผมจากเพจที่ชื่อ LoveSyrup ผมเรียนมาจาก รร.พิชญศึกษา ปากเกล็ด นนท์ เรียนวิทย์ คณิต จริงๆเป็นคนไม่อ่านหนังสือสอบเลยเป็นคนขี้เกรียจ อาศัยประจบอาจารย์(หัวเราะ) ตอนนั้นจับพลัดจับผลูได้เป็นประธานนักเรียนด้วย ที่เป็นเพราะเพื่อนไม่มีใครยอมเป็นก็เลยดันให้เราเป็น แต่จริงๆเราเป็นคนขี้อายมาก เป็นคนขี้อายมาตลอด ชีวิตตอนเด็กๆจะเป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ชอบวาดใส่หนังสือเรียน วาดรูปทุกวัน ถึงจะวาดไปเบบคนไม่ได้เรียนศิลปะแต่ว่างานที่เราวาด ครูหรือผู้ปกครองก็ชอบนะ แต่ที่ได้เรียนติวศิลปะจริงๆก็ตอนจะซิ่วเข้าศิลปากร ตอนนั้นเรียนอยู่ปี1 ที่คณะวิทย์ศาสตร์ ชีววิทยา มหิดล แต่สุดท้ายก็ไม่ติดเพราะเป็นการติวศิลปะช่วงสั้นๆไม่ได้เรียนอะไรมากมายนัก

ตอนเรียนมหิดลก็ได้เกรดแค่ 2 ต้นๆ ส่วนมากจะไปขลุกอยู่กับฝ่ายศิลป์ของคณะ ทำโปสเตอร์ ทำดิสเพลคอนเสริทให้คณะ สุดท้ายเรียนจบได้เกรดมา 2.8 จบมาก็ยังไม่ได้ทำงานแต่ก็วาดรูปเล่นจนรู้สึกว่าต้องเรียนละ อยากเรียนวาดรูป ตอนนั้นเริ่มมีเพจของตัวเอง เพราะอกหักอยากระบายให้เพื่อนกันเองฟัง เป็นดิจิตอลเพ้นติ้งชื่อเรื่องว่า “ฉัน” ก็เขียนเป็นการ์ตูนง่ายๆ หกช่องจบอะไรแบบนั้น

แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเขียนภาพจริงๆจังๆคือ วันหนึ่งเล่น pinterest เสิร์ช Illustrator , Illustration kid คือมันน่ารัก ชอบอะไรที่มันดูเด็กๆเส้นง่ายๆ เสริช แล้วก็ไปเจอนักวาดภาพประกอบ ถ้าชอบก็จะวาดตาม จับบุคลิคเขา ตอนนั้นคนที่ชอบก็จะมี Annette Marnat กับ Mary Blair ซึ่งคนหลังนี่เค้าวาดภาพให้วอลท์ดิสนีย์ด้วย


ช่วงแรกๆก็จะลอกตามให้เหมือนเขาเลย ปัญหาคือเวลาเราทำงานศิลปะเราจะทำไปแบบหยุดไม่ได้ อยากทำให้เสร็จแต่มันก็ฝืน เพราะเราชอบเขามากอยากเป็นเหมือนเขา แบบเวลาเราวาดมืออกมาแต่พอไปเทียบกับต้นฉบับแล้วมันไม่เหมือน คือพอถึงจุดหนึ่งมันก็รู้สึกฝืนๆที่จะเขียนให้ได้เหมือนอย่างเขา เพราะผมไม่ได้เรียนศิลปะมาโดยตรง มันหมือนเป็นปมด้วยแหละ รู้สึกไม่มั่นใจสักที จะคิดแบบว่า “เราดีพอรึยัง” พอคิดแบบนี้วนๆก็เลยหยุดเขียนไปบ้างรู้สึกอยากหาเทคนิคอะไรมาวาดบ้างที่ไม่ใช่วาดในคอมอย่างเดียว

ประกอบกับแรงกดดันว่าเราจบมา 2 ปียังไม่มีอะไรเลย ผมอยู่กับแม่แต่แม่ก็ไม่ได้กดดันอะไรเลย เรากดกันตัวเราเองมากกว่าทั้งๆที่แม่ให้เงินใช้แบบไม่เคยบ่นว่าเมื่อไรจะหางานทำซะที หลังๆรู้สึกว่าตัวเองพักนานไปแล้วคงต้องทำอะไรจริงจังบ้างละ ก็เลยไปหาที่เรียนศิลปะแบบจริงๆจังซักที และพอมาได้เรียนที่ Art house โลกศิลปะก็กว้างขึ้นมีคนคอยให้คำแนะนำว่าเราควรพัฒนาไปทางไหนได้ลองเทคนิคใหม่ๆที่เราไม่เคยได้ทำอย่างเช่น สีชอล์ค สีน้ำ สีน้ำมัน หรือแม้กระทั่งใช้หมึกจีนเขียน ก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเริ่มสนุก ได้ใช้ภู่กันลงสี ได้เห็นทีแปรงจริงๆ ว่ามันเป็นยังไงมันแตกต่างจากการเขียนในคอมมากๆ นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจในศิลปะมากขึ้น เพราะคุยกับพี่เบิร์น(ครูที่สอน)เยอะมากๆคุยกันแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ จากนั้นก็เลยเริ่มค้นหารูปแบบของตัวเองพัฒนามาเรื่อยๆ จนมาเจอสไตล์ที่ชอบโดยที่เราไม่ไต้องไปลอกงานเขาอีกต่อไป มันก็รู้สึกไม่ฝืนที่จะต้องเขียนเหมือนใครอีก

พอจับแนวทางที่จะวาดได้แล้วแต่ปัญหามันอยู่ที่เรื่องที่จะเขียน พอผมวาดบ่อยๆมันก็ตัน เพราะเป็นคนอยู่บ้านไม่ค่อยไปไหน เล่นกับแมว ดูทีวี ก็จะใช้วิธีหาแรงบันดาลใจจากหนังที่ได้ดู

พอเรียนจบก็เริ่มดูหนังมากขึ้น ถึงจะดูน้อยแต่ก็เข้าใจภาษาหนัง ผมไม่ชอบหนังฮอลลีวูดมันน่าเบื่อ ชอบหาหนังที่ตัวเองสนใจหรือฉายตามเทศกาลมากกว่าหนังเข้าตามโรงปกติทั่วไป หนังบางเรื่องที่ได้ดู ภาพมันสวยจนปล่อยไปไม่ได้ เช่นเรื่อง Girlhood เป็นเรื่องการเติบโตของผู้หญิงผิวสีภาพมันสวยมาก เวลาผมชอบเรื่องไหน จะจับภาพมุมที่ชอบและก็เริ่มมาวาด วาดเป็นแบบแนวของตัวเอง บางคนอาจจะมองว่าวาดเบี้ยวๆ เราชอบให้มันไม่สมบูรณ์ อยากวาดก็วาดไปเลยไม่ร่างก่อน


ทุกวันนี้เลยยังติดวาดแบบกึ่งเหมือนอยู่บ้าง อย่างภาพ Andy Warhol คือวาดจากภาพถ่าย แต่มันมีตัวแปรหนึ่งคือตอนนั้น วาดตอนเป็นไข้ ไข้สูงมาก จะรู้สึกเบลอๆแต่ก็พยายามฝืนเขียน อยากทดลองว่าถ้าเขียนรูปตอนไม่สบายมันจะออกมาเป็นยังไง แต่พอออกมาก็รู้สึกชอบนะ มันจะเบี้ยวๆดูไม่ค่อยออกว่าวาดใคร แต่ผมรู้สึกไม่ได้อยากให้มันเหมือน รู้สึกว่าความไม่เหมือนก็สวยนะ

ที่ผมไม่กลัวว่าจะต้องวาดให้ถูกต้องถูกสัดส่วนหรือวาดให้เหมือน ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นข้อดีของการที่ผมไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยศิลปะมาโดยตรง ผมอยากวาดภาพที่ออกมาจากในหัวของตัวเอง โดยไม่ใช่เขียนไปดูภาพจากต้นฉบับไปด้วย อยากจะจำมันให้ได้ก่อน และไม่ดูภาพนั้นอีกเลยระหว่างเขียน“เพื่อที่จะได้ลืมรายละเอียดทั้งหมดและถ่ายทอดภาพนั้นออกมาจากในหัวของผมเอง...


"เพราะผมเชื่อว่าภาพที่ออกมาจากหัว นั่นมันคือภาพแห่งความสุข"

ติดตามผลงานของจารุวัฒน์ น้อมรับพร (เตว) ได้ที่ :

https://www.behance.net/Lovesyrup

https://www.facebook.com/LoveSyrup

 

© Copy Right artHOUSE Institute, All Rights Reserved.

ไม่อนุญาติให้นำบทความไปดัดแปลง, เขียนใหม่, หรือนำไปเผยแพร่ในที่สาธารณะโดยไม่ใส่เครดิตหรือได้รับอนุญาติ

ดู 66 ครั้ง
bottom of page